“ฆาตกรเงียบ” มาแบบเงียบจริง ๆ มาปุ๊บไปปั๊บเลย นั่นคือเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่ไม่เคยไปตรวจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะบางคนไม่แสดงอาการแต่อย่างใด...จากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 3.9 ล้านราย เป็นกว่า 5.5 ล้านราย สาเหตุหลักมาจากปัจจัยการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป

นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลกกำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของภาวะความดันโลหิตที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมาก สำหรับในประเทศไทยดรวามดันโลหิตสูงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากอดีต โดยข้อมูลจาก ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 – 2560) อัตราป่วยโรคความดันโลหิตสูงต่อประชากรแสนคน เพิ่มขึ้นจาก 12,342 (จำนวน 3,936,171 ราย) เป็น 14,926 (จำนวน 5,597,671 ราย) โดยสาเหตุมาจาก การรับประทานที่มีรสเค็มจัด หรือทานของทอดมากเกินไป ขาดกิจกรรมทางกายหรือขาดการออกกำลังกาย และ มีปัจจัยเสี่ยงจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีภาวะอ้วน ต้องตระหนักถึงอันตรายของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคนี้ กรมควบคุมโรคมีการขับเคลื่อนให้เกิดการวัดความดันโลหิตที่บ้านและยังมีโครงการวัดความดันโลหิตที่ธนาคารที่เป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการวัดความดันโลหิต  โรคความดันโลหิตเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยหลัก คือ “3 อ 2 ส” อ.-อาหาร คือ ทานอาหารแต่พอดี งดทานอาหารหวาน มัน เค็มจัด อ.-ออกกำลังกาย โดยออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วันหรืออย่างต่ำสัปดาห์ละ 150 นาที อ.-อารมณ์ คือ ทำจิตใจให้แจ่มใส  ส.-ไม่สูบบุหรี่ และ ส.-ลดการดื่มสุราเบียร์และเครื่องดื่มมึนเมา

ควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ สำหรับความดันโลหิตที่ดีคือไม่เกิน 120/80  หากปล่อยปละละเลยอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมอง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ที่มาภาพ : https://www.pinterest.com.au/pin/297167275386658790/?lp=true

https://pr.moph.go.th/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=111003