เช็คสุขภาพ : ที่นี่ ... มีคำตอบให้ทุกคำถามเกี่ยวกับสุขภาพของท่าน
หน้าแรก / บทความ / สพฉ. สอบ รพ. เอกชน ปฏิเสธรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสิทธิ UCEP
โดย : วณิชชา สุมานัส
ทบทวนบทความโดย : ทีมเช็คสุขภาพ
สพฉ. สอบ รพ. เอกชน ปฏิเสธรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสิทธิ UCEP

27 กรกฎาคม 2562, กรุงเทพ - นพ.สัญชัย ชาสมบัติ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าว โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตและให้เหตุผลกับญาติผู้ป่วยว่าจะต้องวางเงินสดจำนวน 100,000 บาท จึงจะทำการรักษาให้นั้นว่า

ก่อนที่จะพูดถึงกรณีที่เกิดขึ้นนี้ตนอยากชี้แจงให้ประชาชนทุกคนเข้าใจตรงกันกันก่อนว่านโยบาย "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่" (Universal Coverage for Emergency Patients: UCEP) นั้นผู้ป่วยที่จะสามารถเข้าข่ายในการใช้สิทธิ์ UCEP จะต้องเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่มีอาการเกิดขึ้นกะทันหัน ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุบัติทางถนน, เส้นเลือดในสมองตีบ, มีอาการอัมพฤกษ์อัมพาต, มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก,หรือตกต้นไม้แขนขาหัก, จมน้ำ, หรือถูกงูพิษกัด แต่ไม่ใช่โรคที่เป็นมานานอย่างโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันเรื้อรัง

ซึ่งกรณีที่ปรากฏตามข่าวนั้นสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สบส. กระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งทีมสอบสวนและได้ลงไปเก็บข้อมูลในโรงพยาบาลที่เกิดกรณีดังกล่าว ซึ่งพบข้อมูลว่าผู้ป่วยในกรณีนี้เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่เข้าตามเกณฑ์ของ UCEP ทุกประการ ซึ่งความหมายในเบื้องต้นคือผู้ป่วยสามารถไปใช้บริการยังโรงพยาบาลที่ใกล้สุดภายใน 72 ชั่วโมงได้ฟรี

สำหรับในส่วนที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลว่าโรงพยาบาลได้เรียกเก็บเงินจำนวน 100,000 บาท ก่อนที่จะทำการรักษาผู้ป่วย และเมื่อญาติไม่สามารถหาเงินมาได้โรงพยาบาลก็ไม่ทำการรักษาผู้ป่วย ซึ่งในประเด็นนี้ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินกล่าวว่า ตามขั้นตอนของการรักษาของโรงพยาบาลทุกแห่งนั้น หากมีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้ามา โรงพยาบาลก็จะต้องทำการคัดแยกแล้วดูว่า อาการบาดเจ็บของผู้ป่วยนั้นมีความรุนแรงที่จะเข้าเกณฑ์ของ UCEP หรือไม่ หากเข้าเกณฑ์ก็สามารถเข้ารับการรักษาโดยที่ไม่ต้องสำรองจ่ายได้ภายใน 72 ชั่วโมง แต่หากไม่เข้าเกณฑ์ของ UCEP ก็สามารถนำใบคัดแยกอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินไปใช้เบิกในส่วนของกองทุนอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยมีสิทธิอยู่ อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือกองทุนของข้าราชการได้อีกด้วย ไม่ใช่ว่าหากเข้าไปทำการรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดผู้ป่วยสามารถนำใบคัดแยกอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินไปเบิกต่อยังกองทุนต่างๆเหล่านี้ได้

นพ.สัญชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้อีกว่า ในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ สิ่งที่เราต้องเข้าไปดูคือ เมื่อเข้าไปแล้วทำไมผู้ป่วยถึงไม่ได้ใช้สิทธิ UCEP ก็มีประเด็นอยู่ที่ว่า โรงพยาบาลปฏิเสธการรักษาหรือไม่ หรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือหนักเกินกว่าศักยภาพที่โรงพยาบาลจะรักษาได้ ขึ้นอยู่กับการสื่อสารระหว่างโรงพยาบาลและญาติผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤตมากและมีอาการโคม่า ส่วนการเข้าไปแล้วโรงพยาลไม่ทำการรักษา และปฏิเสธการรักษาหรือไม่ หรือเป็นเรื่องศักยภาพของโรงพยาบาลมีความสามารถในการรักษากรณีนี้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม

ซึ่งนโยบาย UCEP นั้นเป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลปี พ.ศ. 2541 ถ้าสอบสวนสถานพยาบาลแล้วพบว่ามีความผิดในการปฏิเสธสิทธิผู้ป่วย UCEP นั้น มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้งสามารถเกี่ยวข้องกับการเพิกถอนใบอนุญาตของสถานพยาบาลได้ เนื่องจากไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 อีกด้วย แพทย์พยาบาลที่เกี่ยวข้องก็จะต้องมาพิจารณามาตรฐานทางจริยธรรม และการปฏิบัติทางเวชกรรมโดยแพทยสภาหรือสภาการพยาบาลของตนเอง

รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ สพฉ.และ สบส.ได้ตั้งทีมขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ตอนนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและยังเร็วเกินไปที่เราจะสรุปว่าใครผิดหรือใครถูก ต้องรอข้อมูลจากหลายฝ่ายก่อนจึงสามารถสรุปได้ ทั้งจากหน่วยรับแจ้งเหตุ 1669 รถพยาบาลที่ออกไปรับผู้ป่วย โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยต้องใช้เวลาสักระยะ

นพ.สัญชัย กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจในนโยบาย UCEP เพราะการเกิดขึ้นของนโยบายนี้ก็เพื่อต้องการลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและต้องการช่วยชีวิตของประชาชนให้รอดพ้นจากอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ตามนโยบาย UCEP นั้นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุด ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยจะมีกองทุนตามสิทธิการรักษารับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่แรกเข้าโรงพยาบาลจนพ้นภาวะวิกฤต แต่ต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง เริ่มนโยบายนี้มาตั้งแต่ 1 เมษายน 2560 จนถึงปัจจุบันมีผู้เข้าเกณฑ์แล้วมากกว่า 48,000 ราย เฉลี่ยประมาณ 2,300 ต่อเดือนที่เข้าเกณฑ์ ซึ่งผู้ป่วยที่จะเข้าเกณฑ์ของการใช้สิทธิ UCEP จะต้องเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินที่เข้าข่าย 6 อาการฉุกเฉินวิกฤติ อาทิ

1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง 3. เจ็บหน้าอกเฉียบพลันรุนแรง 4. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม 5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด และ 6. มีอาการอื่นร่วมที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งนี้โดยการประเมินของแพทย์

และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถติดต่อมายังศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศคส. สพฉ.) หมายเลข 02-872-1669 ได้ตลอด 24 ชม.

27/07/2019
บทความที่เกี่ยวข้อง

คณะกรรมการยาเสพติดให้โทษพิจารณาไม่รับน้ำมันกัญชาสูตร อ.เดชา ศิริภัทร อ้างว่า ตำรับน้ำมันกัญชา สูตร อ.เดขา ศิริภัทร ไม่มีปัญหา 



สธ. ออกมาตรการเข้มรับมือสถานการณ์ไข้เลือดออกหลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น พร้อมเตือนประชาชนหากพบผู้ป่วยมีไข้สูง ให้รีบพาส่งโรงพยาบาลทันที



เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เผย ผักกวางตุ้ง และส้ม ครองแชมป์ สารพิษตกค้างมากที่สุด และพบว่า ผักและผลไม้ที่ส่งตรวจมีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานสูงถึง 41%


CHECKSUKKAPHAP.COM
เลขที่ 598 ชั้น 6 ถนนเพลินจิต ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
095-515-9229
ข้อกำหนดและเงื่อนไข ความเป็นส่วนตัว