ในทุก ๆ ปี ไข้เด็งกี (Dengue Fever) คร่าชีวิตผู้ติดเชื้อนับล้านทั่วโลก ถึงแม้ว่าโรคนี้จะพบได้มากที่สุดในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันตก แต่ก็มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในละตินอเมริการวมถึงแถบแคริเบียนด้วย
โรคที่มียุงเป็นพาหะนั้นแพร่ระบาดสู่คนจากการโดนยุงตัวเมียกัด ทำให้เกิดไข้สูงและผื่นขึ้น ในผู้ป่วยไข้เด็งกีที่ไม่รุนแรงนอกจากอาการเหล่านี้แล้วการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อก็เป็นอาการที่แสดงในผู้ป่วยไข้เด็งกีที่ไม่รุนแรงเช่นกัน ส่วนอาการเลือดออกรุนแรงและความดันโลหิตลดลงเฉียบพลันจนถึงขั้นเสียชีวิตนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยไข้เด็งกีแบบรุนแรง ซึ่งเรียกว่าไข้เลือดออกเด็งกี
ไข้เด็งกีมีสาเหตุมาจากไวรัสเด็งกี 4 ชนิด คือ DENV-1, -2, -3 และ -4 ไวรัสนั้นเป็นอันตรายมากจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถสู้กับไวรัสได้ ในขณะที่นักวิจัยกำลังวิจัยวัคซีน การป้องกันไวรัสเด็งกีที่ดีที่สุดคือการลดจำนวนยุงที่เป็นพาหะของโรค
สถานการณ์ในประเทศไทย
มีการรายงานการติดเชื้อเด็งกีในประเทศไทยมากกว่า 50 ปี ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของเชื้อไปทั่วทั้งประเทศ ภายในปี 2020 มีผู้ป่วยเด็งกีประมาณ 140,000 ราย ซึ่งใกล้เคียงกับการระบาดในปี 2015 โดยมีไวรัส DENV-1 และ DENV-2 เป็นสายพันธุ์หลักและมีแนวโน้มคงที่ กลุ่มที่เสี่ยงต่อไข้เด็งกียังคงอยู่ในกลุ่มของเด็กวัยเรียน (5-14 ปี) แต่ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตนั้นอยู่ในกลุ่มของผู้ใหญ่ (ตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป) โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง
อาการเป็นอย่างไร
ในเด็กและวัยรุ่นจะเป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง คือจะไม่มีสัญญาณหรืออาการแสดงให้เห็น อย่างไรก็ตามหลังจากถูกยุงกัดใน 4-7 วัน อุณหภูมิร่างกายของคุณจะเพิ่มขึ้นถึง 104 องศาฟาเรนไฮต์ (40 องศาเซลเซียส) ซึ่งร้ายแรงและเป็นอันตรายจนคุณต้องได้รับการรักษา นอกจากนั้นบางอาการอาจแสดงให้เห็นดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- มีผื่นขึ้น
- ปวดกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อ
- ปวดตา
ผู้ป่วยส่วนมากอาจฟื้นตัวภายใน 1 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น อาการของผู้ป่วยบางรายอาจแย่ลงและอันตรายถึงชีวิต ในขณะที่หลอดเลือดได้รับความเสียหายและรั่วทำให้จำนวนเซลล์ที่ก่อตัวเป็นก้อนหรือที่เรียกว่าเกล็ดเลือดที่อยู่ในกระแสเลือดลดลง ในสภาวะนี้ส่งผลให้เป็นไข้เด็งกีแบบรุนแรงได้ ซึ่งบางครั้งเรียกว่าไข้เลือดออกเด็งกีหรือกลุ่มอาการไข้เลือดออกเด็งกีช็อก สัญญาณและภาวะของไข้เลือดออกเด็งกีมีดังต่อไปนี้
- เหนื่อยล้า
- อาเจียนหลายครั้ง
- ปวดท้องรุนแรง
- มีเลือดออกที่เหงือกหรือจมูก
- หายใจลำบาก
- เกิดอาการช็อกรวมทั้งมีผิวหนังที่เย็นและชื้น
- มีเลือดปนในอุจจาระ อาเจียนหรือปัสสาวะ
- มีจุดจ้ำเลือดที่อาจเกิดจากเลือดออกใต้ผิวหนัง
- หงุดหงิดและกระสับกระส่าย
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
หากคุณเคยไปในพื้นที่ที่มีไข้เด็งกีแพร่ระบาด และคุณเคยมีประสบการณ์ เช่น ปวดเกี่ยวกับช่องท้องอย่างรุนแรง อาเจียนหลายครั้ง หายใจลำบาก มีเลือดออกที่เหงือกหรือจมูก แนะนำให้คุณโทร 1669 หรือไปห้องฉุกเฉินใกล้คุณทันที
อะไรคือสาเหตุ
เมื่อยุงไปกัดคนที่มีไวรัสเด็งกีทำให้ยุงตัวนั้นติดเชื้อ หลังจากนั้นเมื่อยุงไปกัดคนอื่น คนคนนั้นก็จะติดไวรัส
มนุษย์สามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรคได้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณจะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเด็งกีที่คุณได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับไวรัสชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้โอกาสที่คุณจะป่วยด้วยไข้เด็งกีรุนแรงหรือไข้เลือดออกเด็งกีนั้นมีสูงหากคุณติดเชื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก
อะไรคือปัจจัยเสี่ยง
2 ปัจจัยที่ทำให้คุณอยู่ในความเสี่ยงของการพัฒนาโรคหรืออาจมีอาการของไข้ที่รุนแรงมากขึ้น ประกอบไปด้วย
- อาศัยอยู่หรือเดินทางในพื้นที่เสี่ยงซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโรคระบาด เช่น ประเทศเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้คุณติดเชื้อไวรัสเด็งกี
- คุณมีโอกาสสูงที่จะมีอาการรุนแรงหากคุณติดเชื้อไวรัสเด็งกีซ้ำ
แพทย์วินิจฉัยโรคอย่างไร
มันไม่ง่ายที่จะวินิจฉัยโรค คุณสามารถมีสัญญาณและอาการเดียวกันกับไข้เด็งกี แต่ก็ยังสามารถได้รับการวินิจฉัยร่วมกับโรคอื่นได้ เช่น มาลาเรีย โรคฉี่หนู ไข้ไทฟอยด์ และอื่น ๆ
เมื่อมีสัญญาณและอาการแสดงให้เห็น อาจเป็นไปได้ว่าแพทย์จะต้องตรวจเพิ่มเล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์และประวัติการเดินทางของคุณ ถ้าพูดถึงเรื่องสถานการณ์นี้ แนะนำให้คุณเปิดเผยรายละเอียดการเดินทางระหว่างประเทศขอคุณตลอดจนประเทศที่คุณเคยไป และวันที่ในสถานที่ที่คุณอยู่เพื่อดูว่าคุณมีโอกาสติดเชื้อหรือไม่
เนื่องจากสัญญาณและอาการอาจก่อให้เกิดความสับสนได้ แพทย์อาจแนะนำคุณให้ทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการเล็กน้อยเพื่อตรวจหาหลักฐานของไวรัสเด็งกี
วิธีการรักษาเป็นอย่างไร
ไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับไข้เด็งกี คุณอาจได้รับการแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ เนื่องจากร่างกายอาจขาดน้ำจากการอาเจียนหลายครั้งและไข้สูง
ถึงแม้ว่าอาการไข้จะดีขึ้น แต่ยังแนะนำให้คุณสังเกตสัญญาณและอาการขาดน้ำ ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อคุณมีสัญญาณและอาการบางอย่างดังต่อไปนี้
- ปัสสาวะออกน้อย
- มีน้ำตาน้อยหรือไม่มีเลย
- ปากและริมฝีปากแห้ง
- มีอาการเซื่องซึมหรือสับสน
- มีอาการหนาวหรือมือเท้าเย็น
ยาพาราเซตามอลหรืออะเซตามีโนเฟน รวมไปถึงไทลีนอลและอื่น ๆ สามารถช่วยลดอาการปวดและบรรเทาไข้ได้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน ไอบูโพรเฟน และ นาพรอกเซนโซเดียม เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกมากเกินไปได้ สำหรับไข้เด็งกีรุนแรงแนะนำให้คุณ
- เข้ารับการรักษาแบบประคับประคองอาการในโรงพยาบาล
- ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและเกลือแร่ทดแทน
- วัดความดันโลหิตตามคำแนะนำของแพทย์
- พิจารณาการให้เลือดเพื่อทดแทนการสูญเสียเลือด
เราจะป้องกันการติดเชื้อเด็งกีได้อย่างไร
มาตรการป้องกันและควบคุมไข้เด็งกีนั้นควรทำ ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคล่วงหน้า โดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงทั้งในบ้าน ชุมชน และสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะในโรงเรียนและโรงพยาบาล อัตราการเกิดตัวอ่อนของยุงควรเท่ากับศูนย์ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ควรควบคุมโรคคือตั้งแต่เดือนมกราคม - เมษายน เพราะเป็นช่วงเวลาที่โรคแพร่กระจายน้อยที่สุดและมีผลต่อจำนวนของผู้ป่วยที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างฤดูฝน (พฤษภาคม-สิงหาคม)
ปัจจุบัน 65% ของวัคซีนเด็งกีที่ขึ้นทะเบียนมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสเด็งกีทุกสายพันธุ์ ประเทศไทยมีการใช้วัคซีนมาตั้งแต่ปี 2017 จากข้อมูลของโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนพบว่าผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีนมีเพียง 0.22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งล้วนไม่รุนแรง องค์กรอนามัยโลกแนะนำให้ใช้วัคซีนกับคนที่มีอายุ 9-45 ปี และคนที่ไม่เคยติดเชื้อไข้เด็งกีมาก่อน แพทย์ต้องพิจารณาการฉีดวัคซีนเป็นรายบุคคล
การเตรียมพร้อมสำหรับการนัดหมาย
ก่อนพบแพทย์ แนะนำให้คุณเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับอาการ การใช้ยาทั้งหมด และคำถามที่จะถามแพทย์ของคุณ และอื่น ๆ
การคาดการณ์จากแพทย์คืออะไร
คุณอาจถูกถามด้วยชุดคำถาม เช่น เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่ อาการรุนแรงแค่ไหน หรือสมาชิกในครอบครัวมีโรคหรือไม่ และอื่น ๆ
ประวัติเจ้าของบทความ
ทิพวัลย์ กิจสกุณี เป็นนักแปลอาชีพสายกฎหมายและการแพทย์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาเอเชียศึกษา(ภาษาจีน) จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ผ่านการอบรมการแปลของชมรมนักแปลและล่ามอาชีพ (Professional Translators and Interpreters Society) หลักสูตรการแปลเอกสารภาษาอังกฤษเป็นไทย รุ่นที่ 1 (Intermediate Level - คู่ภาษาอังกฤษ - ไทย)
ปัจจุบัน ทิพวัลย์ เป็นนักแปลและล่ามอิสระ