นักวิจัยหลายคนเชื่อว่าไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เลวร้ายที่สุดไขมันทรานส์หรือที่เรียกว่ากรดไขมันไม่อิ่นตัวที่เป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และลดคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ของร่างกาย ระดับของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีสูง( LDL)ประกอบกับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)ต่ำจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอีกด้วย 

1. ไขมันทรานส์คืออะไร?
เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิดอาจมีปริมาณไขมันทรานส์เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ไขมันทรานส์จะถูกสร้างขึ้นจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมโดยการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืชทำให้น้ำมันมีความแข็งที่อุณหภูมิห้องน้ำมันไฮโดรเจนชนิดนี้บางส่วนมีโอกาสเกิดการเสื่อมสภาพลงซึ่งเป็นเหตุผลที่อาหารที่ผลิตขึ้นมีวันหมดอายุเร็ว ร้านอาหารใช้น้ำมันพืชชนิดนี้ในการทอดอาหารและไม่มีการเปลี่ยนสักเท่าไหร่
2. เราสามารถเจอไขมันทรานส์ได้ที่ไหนบ้าง?
a. อาหารอบ
เค้ก,คุกกี้,พายและแครกเกอร์ส่วนใหญ่ที่เรารับประทานนั้นประกอบไปด้วยน้ำมันพืช แหล่งที่มาอื่นของไขมันทรานส์คือน้ำตาลไอซิ่งสำเร็จรูป
b. ขนมขบเคี้ยว.
มันฝรั่ง,ข้าวโพดคั่วและแผ่นข้าวโพดทอดกรอบมักจะเต็มไปด้วยไขมันทรานส์ ข้าวโพดคั่วจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ต่อเมื่อยังไม่ได้ปรุงสุกหรือปรุงแต่งด้วยไขมันทรานส์เท่านั้น
c. อาหารทอด
พูดถึงอาหารทอดทุกชนิดที่ใช้น้ำมันพืชที่ประกอบด้วยไขมันทรานส์ในการทอด
3. การอ่านฉลาก
วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงไขมันทรานเฟอร์คือการอ่านฉลากเมื่อคุณซื้ออาหาร กฎข้อบังคับของสหรัฐฯอนุญาตให้ฉลากอาหารใส่ไขมันทรานส์เป็น 0 กรัม ถ้าในนั้นมีไขมันไม่อิ่มตัวน้อยกว่า 0.5 กรัมในอาหาร ดังนั้นควรตรวจสอบน้ำมันพืชที่ซึ่งเป็นตัวชี้วัดไขมันทรานส์ในอาหารของคุณ
4. ควบคุมการบริโภคไขมันทรานส์ให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำที่สุด
ไขมันทรานส์โดยเฉพาะชนิดที่ผลิตในน้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนบางส่วนไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่เป็นที่รู้จักในการทดลองทางวิทยาศาสตร์กรมวิชาการเกษตรได้แนะนำให้ประชาชนว่าควรทานไขมันทรานส์อย่างน้อยที่สุด องค์การอาหารและยา (FDA) ไม่ยอมรับน้ำมันพืชที่เติมไฮโดรเจนว่าปลอดภัย การใช้ไขมันทรานส์ในการเตรียมอาหารควรถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

เพื่อความปลอดภัยคุณควรตระหนักถึงผลกระทบที่เป็นอันตรายของไขมันทรานส์และไขมันประเภทอื่นๆด้วย การแทนที่ของไขมันทรานส์คือไขมันอิ่มตัวซึ่งทำให้ระดับคอเลสเตอรอลของคุณเพิ่มขึ้น อาหารที่ดีควรมีไขมันน้อยกว่า 35% และโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวอย่างน้อยสุด 10%เท่านั้น