การใช้

ไพริดอกซีนใช้ทำอะไร?

ไพริดอกซีน คือ วิตามินชนิดหนึ่ง (วิตามินบี6)

ไพริดอกซีนใช้เพื่อป้องกันและรักษาภาวะขาดไพริดอกซีน และภาวะโลหิตจาง นอกจากนี้ยังใช้สำหรับโรคหัวใจ, ไขมันในเลือดสูง; ลดระดับโฮโมซีสทีน (homocysteine) ในเลือดซึ่งเป็นสารเคมีที่อาจเชื่อมโยงกับโรคหัวใจ และช่วยการอุดตันของหลอดเลือดแดงหลังจากการขยายหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยบอลลูนและการดามขดลวด (angioplasty) ผู้หญิงใช้ไพริดอกซีนในอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) และปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับประจำเดือน, ช่วยในการแพ้ท้องในตอนตั้งครรภ์ระยะแรก, หยุดการไหลเวียนของนมหลังคลอด, ภาวะซึมเศร้าที่เชื่อมกับการตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด และช่วยรักษาอาการของวัยหมดประจำเดือน

นอกจากนี้ยังใช้ไพริดอกซีนสำหรับโรคอัลไซเมอร์, โรคสมาธิสั้น (ADHD), ดาวน์ซินโดรมออทิสติก, โรคเบาหวานและอาการปวดเส้นประสาท, โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว, อาการปวดหัวไมเกรน, โรคหอบหืด, โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ, ปวดขาในตอนกลางคืน, ปวดกล้ามเนื้อ, โรคภูมิแพ้, สิวและสภาพผิวอื่นๆ และภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้ยังใช้สำหรับอาการวิงเวียนศีรษะ, เมารถ, ป้องกันโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD), อาการชักชักจากไข้ และความผิดปกติของการเคลื่อนไหว (tardive dyskinesia, hyperkinesis, chorea) รวมทั้งช่วยเพิ่มความอยากรับประทานในผู้ที่มีอาการสูญเสียความหิวหรือกระหาย และช่วยคนในการจดจำความฝัน

บางคนใช้ไพริดอกซีนในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน, การติดเชื้อที่ตา, การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ, การป้องกันมะเร็งและนิ่วในไต

นอกจากนี้ไพริดอกซีนยังสามารถเอาชนะผลข้างเคียงบางอย่างที่เป็นอันตราย ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยรังสีและการรักษาด้วยยา เช่น ไมโทมายซิน (mitomycin), โปรคาร์บาซีน (procarbazine), ไซโคลเซรีน (cycloserine), ฟลูออโรยูราซิล (fluorouracil), ไฮดราซี (hydrazine),ไอโซไนอาซิด (isoniazid), เพนนิซิลลามีน (penicillamine) และ วินคริสทีน (vincristine)

ไพริดอกซีน มักใช้ควบคู่กับวิตามินบีอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินบี

ไพริดอกซีนทำงานอย่างไร?

ยังมีการศึกษาไม่เพียงพอเกี่ยวกับการทำงานของไพริดอกซีน กรุณาปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันดีว่าไพริดอกซีน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานที่เหมาะสมของน้ำตาล, ไขมันและโปรตีนในร่างกาย นอกจากนี้ยังจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสมและการพัฒนาของสมอง, เส้นประสาท, ผิวหนังและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

ข้อควรระวังและคำเตือน

ควรรู้อะไรก่อนที่จะใช้ไพริดอกซีน?

ควรปรึกษากับแพทย์, เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรถ้ามีอาการหรือลักษณะดังต่อไปนี้:

• กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากในระหว่างการมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรจึงควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
• อยู่ในระหว่างการใช้ยาชนิดอื่น รวมไปถึงยาที่สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา
• มีอาการแพ้สารใดๆที่มีสารประกอบของไพริดอกซีนผสมยู่ หรือยาและสมุนไพรอื่นๆ
• มีอาการเจ็บป่วย ความผิดปกติ หรือพยาธิสภาพอื่นๆ
• มีอาการแพ้ เช่น แพ้อาหาร สีผสมอาหาร สารกันบูด หรือเนื้อสัตว์

ข้อบังคับสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีความเข้มงวดน้อยกว่าข้อบังคับของการใช้ยา จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยในการใช้ ประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะต้องมีค่าน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

ไพริดอกซีนปลอดภัยแค่ไหน?

ไพริดอกซีนปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่เมื่อใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ไพริดอกซีนอาจปลอดภัยเมื่อรับประทานในขนาดที่มากกว่าค่าอาหารประจำวันที่แนะนำ **การใช้ในขนาดที่สูงในระยะยาวอาจไม่ปลอดภัย

ข้อควรระวังและคำเตือนพิเศษ

หญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร: ไพริดอกซีนมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลจากผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ บางครั้งใช้ในการควบคุมอาการแพ้ท้อง แต่หากบริโภคในขนาดที่มากเกินไปจะไม่ปลอดภัย อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดอาการชักได้

ไพริดอกซีนปลอดภัยสำหรับหญิงที่ให้นมบุตรเมื่อใช้ในขนาดที่ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม ต่อวัน (ค่าอาหารที่แนะนำ) หลีกเลี่ยงการใช้ขนาดที่สูงขึ้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับความปลอดภัยของไพริดอกซีนในขนาดที่สูงกว่านี้ในหญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงจากไพริดอกซีนมีอะไรบ้าง?

ไพริดอกซีนอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน, ปวดท้อง, การสูญเสียความหิวหรือกระหาย, ปวดศีรษะ, มึนงง, ง่วงนอนและผลข้างเคียงอื่นๆ

การใช้ในขนาดที่สูงในระยะยาวอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสมองและเส้นประสาทบางอย่าง

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน อย่างไรก็ตาม อาจเกิดผลข้างเคียงอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์หากกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น

ปฏิกิริยาระหว่างยา

ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ยาอื่นร่วมกับไพริดอกซีน

**ไพริดอกซีนอาจมีปฏิกิริยาต่อยาหรือภาวะทางการแพทย์ในปัจจุบันของท่าน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

ผลิตภัณฑ์ที่อาจมีปฏิกิริยาต่อไพริดอกซีนเหล่านี้ ได้แก่

• อะมิโอดาโรน (Amiodarone) หรือ คอร์ดาโรน (Cordarone)

อะมิโอดาโรน (Amiodarone) อาจเพิ่มความไวต่อแสงแดด การใช้ไพริดอกซีน(วิตามิน B6) พร้อมกับอะมิโอดาโรนอาจเพิ่มโอกาสที่จะถูกแดดเผาหรือเกิดผื่นที่บริเวณผิวหนังที่โดนแสงแดด ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดและชุดป้องกันเมื่อใช้เวลาอยู่ใต้แสงแดด

• ฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbital) หรือ ลูมินอล (Luminal)

ขณะร่างกายทำลายฟีโนบาร์บิทัล ไพริดอกซีนอาจไปเร่งความรวดเร็วในการทำลายตัวยา อาจลดประสิทธิผลของฟีโนบาร์บิทัลได้

• เฟนิโทอิน phenytoin หรือ ไดแลนติน (Dilantin)

ขณะร่างกายทำลายเฟนิโทอิน  ไพริดอกซีน (วิตามิน B6) อาจไปเร่งความรวดเร็วในการทำลายตัวยา การใช้ ไพริดอกซีนและเฟนิโทอิน อาจลดประสิทธิผลของเฟนิโทอินและเพิ่มโอกาสในการชัก ห้ามรับประทานไพริดอกซีนในขนาดที่สูง ในกรณีที่ท่านใช้เฟนิโทอิน

• เลโวโดปา (levodopa)

ขณะร่างกายทำลายเลโวโดปา  ไพริดอกซีน(วิตามิน B6) อาจไปเร่งความรวดเร็วในการทำลายตัวยา แต่ปัญหานี้จะเกิดเฉพาะเมื่อใช้เลโวโดปาเพียงอย่างเดียว คนส่วนใหญ่ใช้เลโวโดปาพร้อมกับคาร์บิโดปา(Carbidopa / ซายน์เมท (Sinemet)) คาร์บิโดปาจะช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยานี้ หากท่านใช้เลโวโดปาโดยไม่มีคาร์บิโดปา ห้ามรับประทานไพริดอกซีน

ขนาดยา

ข้อมูลนี้ไม่ใช่คำแนะนำจากแพทย์โดยตรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ

ขนาดปกติของการใช้ไพริดอกซีนอยู่ที่เท่าไร?

การรับประทาน:

• สำหรับการขาดวิตามินบี 6 ในผู้ใหญ่: ขนาดยาทั่วไปคือ5-25 มิลลิกรัม ต่อวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้น 1.5-2.5 มิลลิกรัม ต่อวันเพื่อบำรุง
• สำหรับการขาดวิตามินบี 6 ในสตรีที่ใช้ยาคุมกำเนิด: ขนาดยา 25-30 มิลลิกรัมต่อวัน
• สำหรับอาการของอาการก่อนมีประจำเดือน: ขนาดรายวัน คือ 50-100 มิลลิกรัม มีการใช้ในขนาดที่สูงถึง 500 มิลลิกรัม ต่อวัน แต่ขนาดที่บริโภครายวันที่มากกว่า 100 มิลลิกรัม ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์เพิ่มเติมและอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง
• สำหรับภาวะโลหิตจางที่เกิดจากสาเหตุจากพันธุกรรม: เริ่มใช้ 200-600 มิลลิกรัม ต่อวันแล้วค่อยลดเหลือ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน หลังจากอาการดีขึ้น
• สำหรับโรคนิ่วในไต: มีการใช้ 25-500 มิลลิกรัม ในทุกวันสำหรับการรักษากลุ่มอาการ
• ความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้ : 100 มิลลิกรัม ต่อวันเพิ่มขึ้นเป็นประจำทุกสัปดาห์ได้ถึง 400 มิลลิกรัม ต่อวันโดยแบ่งเป็น 2 ขนาด
• สำหรับป้องกันโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ: 50 มิลลิกรัม ต่อวัน ใช้ร่วมกันกับวิตามินบี 12 (cyanocobalamin) 1000 ไมโครกรัมและกรดโฟลิค 2500 ไมโครกรัม
• สำหรับอาการคลื่นไส้ในระหว่างตั้งครรภ์: ใช้ยาไพริดอกซีน 10-25 มิลลิกรัม สามหรือสี่ครั้ง ต่อวัน หรือใช้ขนาด 75 มิลลิกรัมร่วมกับวิตามินบี 12 ขนาด 12 มิลลิกรัม และแคลเซียม 200 มิลลิกรัม เป็นประจำทุกวัน นี่คือผลิตภัณฑ์ยาที่ได้รับการอนุมัติโดย FDA สำหรับอาการคลื่นไส้ระหว่างตั้งครรภ์

ค่าอาหารประจำวันที่แนะนำ (RDAs) ของวิตามินบี 6 ได้แก่

ทารก 0-6 เดือน: 0.1 มิลลิกรัม, ทารก 7-12 เดือน: 0.3 มิลลิกรัม, เด็ก 1-3 ปี: 0.5 มิลลิกรัม,  เด็ก 4-8 ปี: 0.6 มิลลิกรัม, เด็ก 9-13 ปี: 1 มิลลิกรัม, เพศชาย 14-50 ปี: 1.3 มิลลิกรัม, เพศชายอายุ 50 ปีขึ้นไป: 1.7 มิลลิกรัม, เพศหญิง 14-18 ปี: 1.2 มิลลิกรัม; เพศหญิง 19-50 ปี: 1.3 มิลลิกรัม, หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป: 1.5 มิลลิกรัม, หญิงตั้งครรภ์: 1.9 มิลลิกรัม และสตรีที่ให้นมบุตร: 2 มิลลิกรัม

นักวิจัยบางคนคิดว่าค่าอาหารประจำวันที่แนะนำสำหรับเพศหญิงอายุ 19-50 ปี ควรเพิ่มเป็น 1.5-1.7 มิลลิกรัม ต่อวัน ขนาดสูงสุดที่แนะนำต่อวัน คือ เด็ก 1-3 ปี: 30 มิลลิกรัม,

เด็ก 4-8 ปี:  40 มิลลิกรัม, เด็กอายุ 9-13 ปี: 60 มิลลิกรัม, ผู้ใหญ่, หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรที่อายุระหว่าง 14-18 ปี: 80 มิลลิกรัม และผู้ใหญ่, หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรที่อายุมากกว่า 18 ปี: 100 มิลลิกรัม

ขนาดการใช้ไพริดอกซีนอาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ ขนาดการใช้ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ สุขภาพและปัจจัยอื่นๆ  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ปลอดภัยเสมอไป โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อทราบขนาดที่เหมาะสม

ไพริดอกซีนมีจำหน่ายในรูปแบบใดบ้าง?

ไพริดอกซีนอาจมีจำหน่ายในรูปแบบต่อไปนี้

• ไพริดอกซีนห่อหุ้ม : 100 มิลลิกรัม

Pyridoxine http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-934-PYRIDOXINE+VITAMIN+B6.aspx Accessed August 31, 2017