การใช้

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลใช้ทำอะไร?

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลคือพืชนิดหนึ่ง ส่วนที่ปลูกเหนือพื้นดินถูกนำมาทำเป็นยา

แม้จะมีความกังวลอย่างมากในด้านความปลอดภัย แต่คนก็ยังนำสการ์เล็ตพิมเพอร์เนลมารักษาโรคหรืออาการต่อไปนี้

• ภาวะซึมเศร้า
• ความผิดปกติของตับ
• โรคเริม
• ปวดข้อ
• ความเจ็บปวดจากโรคไต
• โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการบวมและการปัสสาวะมากขึ้น
• ช่วยในการรักษาโรคมะเร็ง

บางคนใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลกับผิวหนังโดยตรงสำหรับอาการปวดข้อ, การสมานแผลและอาการคัน

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลทำงานอย่างไร?

ยังมีการศึกษาค้นคว้าไม่เพียงพอเกี่ยวกับวิธีการทำงานของสการ์เล็ตพิมเพอร์เนล กรุณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบว่า สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลประกอบด้วยสารเคมีที่อาจมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย, เชื้อราและไวรัสบางชนิด นอกจากนี้ยังมีผลคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและอาจมีผลเสียต่อตัวอสุจิของมนุษย์

ข้อควรระวังและคำเตือน

ควรรู้อะไรก่อนที่จะใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนล?

ควรปรึกษากับแพทย์, เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรถ้ามีอาการหรือลักษณะดังต่อไปนี้:

• กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากในระหว่างการมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรจึงควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
• อยู่ในระหว่างการใช้ยาชนิดอื่น รวมไปถึงยาที่สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา
• มีอาการแพ้สารใดๆที่มีสารประกอบของสการ์เล็ตพิมเพอร์เนลผสมยู่ หรือยาและสมุนไพรอื่นๆ
• มีอาการเจ็บป่วย ความผิดปกติ หรือพยาธิสภาพอื่นๆ
• มีอาการแพ้ เช่น แพ้อาหาร สีผสมอาหาร สารกันบูด หรือเนื้อสัตว์

ข้อบังคับสำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหารนั้นมีความเข้มงวดน้อยกว่าข้อบังคับของการใช้ยา จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยในการใช้ ประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหารนี้ จะต้องมีค่าน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลปลอดภัยแค่ไหน?

ยังมีข้อมูลที่แน่ชัดไม่เพียงพอว่าสการ์เล็ตพิมเพอร์เนลมีความปลอดภัยสำหรับการใช้งานในระยะสั้นหรือไม่

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลดูเหมือนจะไม่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานในระยะยาวเมื่อใช้รับประทานหรือทาลงบนผิวหนัง

ข้อควรระวังและคำเตือนพิเศษ

หญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร:

ไม่ปลอดภัยหากใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้มดลูกหดตัวและอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ นอกจากนี้การใช้ในระยะยาวหรือขนาดที่สูงอาจทำให้เกิดอาการบวมในกระเพาะอาหาร, ลำไส้และไต ยังไม่ทราบถึงความปลอดภัยในการใช้งานในระยะสั้น ควรอยู่ในด้านความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนล หากกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร

โรคที่อาศัยฮอร์โมนในการเจริญเติบโต เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งมดลูก, มะเร็งรังไข่, เยื่อบุโพรงมดลูกหรือเนื้องอกในมดลูก:

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลทำหน้าที่เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ห้ามใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนล หากท่านมีอาการหรือโรคใดๆ ที่ทำให้อาการแย่ลงโดยการสัมผัสกับเอสโตรเจน

ความยากลำบากในการตั้งครรภ์ (ภาวะมีบุตรยาก): สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลอาจเป็นอันตรายต่อตัวอสุจิ ห้ามใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนล หากท่านเป็นผู้ชายหรือหญิงที่กำลังพยายามที่จะมีบุตร

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงจากสการ์เล็ตพิมเพอร์เนล มีอะไรบ้าง?

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลอาจทำให้เกิดอาการบวม (inflammation) ในกระเพาะอาหารลำไส้และไตหากใช้ระยะยาวหรือขนาดที่สูง

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน อย่างไรก็ตาม อาจเกิดผลข้างเคียงอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์หากกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น

ปฏิกิริยาระหว่างยา

ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ยาอื่นร่วมกับสการ์เล็ตพิมเพอร์เนล

**สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลอาจมีปฏิกิริยากับยาหรือภาวะทางการแพทย์ในปัจจุบันของท่านควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์ก่อนใช้

ขนาดยา

ข้อมูลนี้ไม่ใช่คำแนะนำจากแพทย์โดยตรง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์ก่อนใช้เสมอ

ขนาดปกติของการใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลอยู่ที่เท่าไร?

ขนาดการใช้สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลอาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ ขนาดการใช้ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ สุขภาพและปัจจัยอื่นๆ  ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหารไม่ปลอดภัยเสมอไป โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์เพื่อทราบขนาดที่เหมาะสม

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลมีจำหน่ายในรูปแบบใดบ้าง?

สการ์เล็ตพิมเพอร์เนลอาจมีจำหน่ายในรูปแบบต่อไปนี้

• สารสกัดสการ์เล็ตพิมเพอร์เนล

Scarlet Pimpernel http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-377-scarlet%20pimpernel.aspx?activeingredientid=377&activeingredientname=scarlet%20pimpernel Accessed July 21, 2017

Pimpernel, Scarlet http://www.botanical.com/botanical/mgmh/p/pimper33.html Accessed July 21, 2017