การใช้
ระกำใช้ทำอะไร
ระกำคือสมุนไพรชนิดหนึ่ง ใบและน้ำมันใช้ทำเป็นยาได้ ใบระกำใช้รักษาอาการต่อไปนี้:
- ปวดศีรษะ
- อาการปวดเส้นประสาท
- โรคข้ออักเสบ
- เจ็บปวดรังไข่
- อาการปวดประจำเดือน
- ปวดท้องและมีแก๊สในกระเพาะอาหาร
- โรคหอบหืด
- เยื่อหุ้มปอดอักเสบ
- อาการบาดเจ็บและบวม (อักเสบ)
- ไข้
- โรคไต
บางครั้ง ใบระกำสามารถนำมาใช้ทาบริเวณผิวหนังเพื่อบรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เจ็บปวดกล้ามเนื้อ และอาการปวดบริเวณหลัง
การรับประทานน้ำมันระกำ สามารถช่วยเพิ่มประมาณน้ำในกระเพาะและช่วยระบบการย่อยอาหารได้
น้ำมันระกำเมื่อนำมาทาบริเวณผิวหนัง จะมีประสิทธิภาพช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ กระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคืองเพื่อลดอาการปวดและบวมบริเวณเนื้อเยื่อ และยังสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนัง
ระกำอาจสามารถใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์
ผลที่ได้
เนื่องจากยังมีการศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนี้ไม่มากพอ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพรหรือแพทย์ อย่างไรก็ดี มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ระกำประกอบไปด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์คล้ายกับแอสไพริน ซึ่งช่วยลดอาการเจ็บปวด บวม และไข้
ข้อควรระวังและคำเตือนการใช้
สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ระกำ
ควรปรึกษาหรือพบกับแพทย์ เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร ถ้าอยู่ในอาการหรือลักษณะดังต่อไปนี้:
- หญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากในระหว่างการมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรจึงควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
- อยู่ในระหว่างรับประทานยาชนิดอื่น รวมไปถึงยาที่สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา
- หากเคยมีประวัติแพ้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งของระกำหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ
- หากมีอาการเจ็บป่วย ความผิดปกติ หรือสภาพทางการแพทย์อื่นๆ
- หากเคยมีประวัติการแพ้ต่างๆ แพ้อาหาร แพ้สีผสมอาหาร แพ้สารกันบูด หรือแพ้เนื้อสัตว์
กฎระเบียบสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีความเข้มงวดน้อยกว่ายาชนิดอื่นๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้มากเพื่อความปลอดภัยในการใช้ คุณประโยชน์ของการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรนี้ต้องมีมากกว่าความเสี่ยงก่อนการใช้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมควรปรึกษาแพทย์
ระกำปลอดภัยหรือไม่
สำหรับเด็ก:
ใบระกำและน้ำมันระกำ อาจเป็นพิษต่อเด็ก เมื่อรับประทานในปริมาณ 4-10 มิลลิลิตร อาจทำให้เสียชีวิตได้
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันระกำทาบริเวณผิวหนังของเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
หญิงมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร:
ไม่ควรรับประทานระกำหรือใช้ทาบริเวณผิวหนัง หากอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ระกำ
การรับประทานระกำอาจทำให้มีอาการมีเสียงวี้ดในหู คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดศีรษะ ปวดท้องและอาการมึนงง
เมื่อทาน้ำมันระกำบริเวณผิวหนังอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง
จากอาการผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีผลข้างเคียง หากมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา ควรปรึกษาแพทย์
ปฏิกิริยาระหว่างกันของยา
ปฏิกิริยาที่จะได้รับเมื่อใช้ยาอื่นควบคู่กับระกำ
ระกำอาจมีปฏิกิริยากับยาที่ใช้อยู่ควบคู่กัน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพรหรือแพทย์ก่อนใช้
ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับระกำ เช่น:
- วาร์ฟาริน: เมื่อรับประทานน้ำมันระกำควบคู่กับยาวาร์ฟาริน (คูมาดิน) อาจเพิ่มโอกาสของอาการช้ำและมีเลือดออก
- แอสไพริน: เมื่อใช้น้ำมันระกำในปริมาณมาก ทาบริเวณผิวหนัง ควบคู่กับการรับประทานยาแอสไพริน อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง
กรุณาแจ้งแพทย์เมื่อมีอาการต่อไปนี้:
- อาการอักเสบของกระเพาะอาการและลำไส้
- อาการแพ้ซาลิไซเลตและแอสไพริน
- โรคหอบหืด
- ริดสีดวงจมูก
ขนาดยา
ข้อมูลนี้ไม่ใช่คำแนะนำจากแพทย์โดยตรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดปกติของการใช้ระกำอยู่ที่เท่าไร
- ไม่ใช่ยาที่มีขายตามทั่วไป
- รับประทานชาใบระกำ โดยใช้ใบระกำแห้ง 1 ช้อนชาต้มน้ำเดือด 1 ถ้วย รับประทานวันละ 1 ถ้วย
ยาใช้ภายนอก:
- ใช้น้ำมันระกำชนิด เจล โลชั่น ขี้ผึ้งหรือน้ำมันนวด (ประกอบด้วยเมทิลซาลิไซเลต 10%-60%) ทาบริเวณผิวหนัง 3-4 ครั้งต่อวัน
- ความร้อนอาจเพิ่มปริมาณการดูดซึมยาบริเวณผิวหนัง ไม่ควรใช้หลังจากการออกกำลังกายหรือหลังการใช้แผ่นประคบร้อน
ปริมาณการใช้ระกำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละผู้ป่วย ซึ่งปริมาณยาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับช่วงอายุ สุขภาพ และปัจจัยอื่นๆ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจไม่ปลอดภัยเสมอไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปริมาณยาที่เหมาะสมสำหรับการรับประทาน
ระกำมีจำหน่ายในรูปแบบใบบ้าง
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารระกำอาจมีจำหน่ายในรูปแบบต่อไปนี้:
- ชา
- เจล
- โลชั่น
- ขี้ผึ้ง
- น้ำมันนวด
Wintergreen. http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-783-Wintergreen.aspx?activeingredientid=783&activeingredientname=Wintergreen. AccessedDecember 14, 2016
Wintergreen. http://naturaldatabase.therapeuticresearch.com/nd/PrintVersion.aspx?id=783. AccessedDecember 14, 2016