การใช้
โยเกิร์ต ใช้ทำอะไร?
โยเกิร์ต (Yogurt) คือผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำมาจากนม โดยเติมจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งก็คือเชื้อแบคทีเรียชนิดต่างๆ ลงไปหมักในนม เช่น Lactobacillus acidophilus, Lactobacillus rhamnosus, Lactobacillus bulgaricus, Enterococcus faecium, Streptococcus thermophilus และอื่น ๆ
โยเกิร์ตใช้สำหรับ:
อาการท้องร่วงในเด็ก
อาการท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปฏิชีวนะ
อาการท้องร่วงในเด็กทารกและเด็กที่ขาดสารอาหาร
การแพ้แลคโตส
รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร (Helicobacter pylori) เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ
ระดับคอเลสเตอรอลสูง
หอบหืด
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs)
ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ป้องกันการติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอด
การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ป้องกันผิวไหม้เกรียมจากการถูกแดดมากเกินไป
การออกฤทธิ์?
เนื่องจากยังมีการศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของโยเกิร์ตไม่เพียงพอ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่าโยเกิร์ตมีแบคทีเรียซึ่งอาจช่วยฟื้นฟูแบคทีเรียตามปกติในระบบทางเดินอาหารและช่องคลอด ซึ่งอาจช่วยรักษาอาการท้องร่วงและติดเชื้อในช่องคลอด
ข้อควรระวังและคำเตือน
สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้โยเกิร์ต
ควรปรึกษาแพทย์ นักสมุนไพร หรือเภสัชกร ถ้าอยู่ในอาการหรือลักษณะดังต่อไปนี้:
- ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากในระหว่างการมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
- อยู่ในระหว่างใช้ยาชนิดอื่น รวมไปถึงยาที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา
- มีอาการแพ้สารบางอย่างในโยเกิร์ต หรือแพ้ยาชนิดอื่นๆ หรือสมุนไพรอื่น
- มีอาการเจ็บป่วย ความผิดปกติ หรือพยาธิสภาพอื่นๆ
- มีอาการแพ้ต่างๆ เช่น แพ้อาหาร สารย้อมสี สารกันบูด หรือสัตว์
ข้อบังคับสำหรับการใช้อาหารเสริมนั้นมีความเข้มงวดน้อยกว่าข้อบังคับของการใช้ยาทั่วไป จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยในการใช้ ทั้งนี้ก่อนการใช้งาน ควรคำนึงถึงประโยชน์ของอาหารเสริมนี้ว่าควรมีมากกว่าความเสี่ยง ควรปรึกษานักสมุนไพรหรือแพทย์หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
โยเกิร์ต ปลอดภัยแค่ไหน?
โยเกิร์ต ดูเหมือนจะปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่เมื่อนำมารับประทาน และโยเกิร์ตอาจปลอดภัยเมื่อนำไปใช้ในช่องคลอด
ข้อควรระวังและคำเตือน
ช่วงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร: โยเกิร์ตน่าจะมีความปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่พบในอาหาร และอาจปลอดภัยเมื่อนำมาใช้ในช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์ มีงานวิจัยเล็กๆทางการศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกับหญิงตั้งครรภ์ว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
โยเกิร์ตดูเหมือนจะปลอดภัยในสตรีที่ให้นมบุตรเมื่อใช้ในปริมาณที่พบในอาหารตามปกติ แต่นักวิจัยยังไม่ได้ศึกษาความปลอดภัยในการใช้โยเกิร์ตในระหว่างการให้นมบุตรอย่างเหมาะสม เป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการใช้งานภายในช่องคลอดถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: มีความกังวลบางอย่างเกี่ยวกับแบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่ในโยเกิร์ตว่าอาจแพร่พันธุ์ในปริมาณมากเกินไปทำให้เกิดความเจ็บป่วยในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น คนที่ติดเชื้อเอชไอวี / เอดส์ หรือผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องมาจากแลคโตบาซิลลัส(Lactobacillus)ในโยเกิร์ตอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรค แต่ไม่ค่อยพบในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เพื่อความปลอดภัยหากคุณมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอให้หลีกเลี่ยงการกินโยเกิร์ตในปริมาณมากที่บรรจุแบคทีเรียอยู่เป็นเวลานาน ถ้าหากไม่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพของคุณ
ผลข้างเคียงที่อาจได้รับจากการใช้โยเกิร์ต
มีรายงานผลข้างเคียงไม่มากนัก แต่มีกรณีที่คนป่วยจากโยเกิร์ตที่ปนเปื้อนแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค
ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลข้างเคียงดังกล่าว อาจมีผลข้างเคียงอื่นๆที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลข้างเคียงใดๆ ควรปรึกษาแพทย์
ปฏิกิริยาระหว่างยา
ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้โยเกิร์ต
โยเกิร์ตอาจมีปฏิกิริยากับยาหรือเงื่อนไขทางการแพทย์ในปัจจุบันของคุณ ควรปรึกษากับแพทย์ก่อนการใช้งาน
ผลิตภัณฑ์ที่อาจมีปฏิกิริยาร่วมกับโยเกิร์ต ได้แก่:
ยาปฏิชีวนะ (ยาปฏิชีวนะกลุ่มเทททราซัยคลีน (Tetracycline Antibiotics))
ในโยเกิร์ตมีแคลเซียม ซึ่งแคลเซียมในโยเกิร์ตสามารถเกาะไปกับยากลุ่มเทททราซัยคลีนลงไปในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นการลดจำนวนยากลุ่มเทททราซัยคลีนที่สามารถดูดซึมได้ ดังนั้นการใช้แคลเซียมร่วมกับยากลุ่มเทททราซัยคลีน อาจไปลดประสิทธิภาพของยากลุ่มเทททราซัยคลีนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ควรทานโยเกิร์ต 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมงหลังใช้ยากลุ่มเทททราซัยคลีน
ยากลุ่มเทททราซัยคลีนบางชนิด ได้แก่ demeclocycline (Declomycin), minocycline (Minocin), และ tetracycline (Achromycin).
ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin (Cipro))
ไซโปรฟลอกซาซิน เป็นยาปฏิชีวนะ โยเกิร์ตอาจลดปริมาณไซโปรฟลอกซาซินที่ร่างกายดูดซึม ดังนั้นการใช้โยเกิร์ตร่วมกับไซโปรฟลอกซาซิน อาจลดประสิทธิภาพของไซโปรฟลอกซาซินได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ให้ใช้โยเกิร์ตอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงหลังจากใช้ไซโปรฟลอกซาซิน
ยากดภูมิคุ้มกัน
โยเกิร์ตมีแบคทีเรียและยีสต์อยู่ ระบบภูมิคุ้มกันจะควบคุมแบคทีเรียและยีสต์ในร่างกายเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ยาที่ช่วยลดระบบภูมิคุ้มกันอาจเพิ่มโอกาสที่คุณจะป่วยจากแบคทีเรียและยีสต์ การทานโยเกิร์ตควบคู่ไปกับยาที่ช่วยลดระบบภูมิคุ้มกันอาจเพิ่มโอกาสป่วยได้
ยาบางชนิดที่ช่วยลดระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ azathioprine (Imuran), basiliximab (Simulect), cyclosporine (Neoral, sandimmune), daclizumab (Zenapax), muromonab-CD3 (OKT3, Orthoclone OKT3), mycophenolate (CellCept), tacrolimus (FK506, Prograf ), sirolimus (Rapamune) prednisone (Deltasone, Orasone), corticosteroids (glucocorticoids) และอื่น ๆ
ขนาดยา
ข้อมูลนี้ไม่ใช่คำแนะนำจากแพทย์โดยตรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาเสมอ
ขนาดยาปกติสำหรับการใช้โยเกิร์ต คือเท่าไร?
ปริมาณต่อไปนี้ได้รับการศึกษาในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์:
รับประทาน:
เพื่อป้องกันอาการท้องร่วงเนื่องจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ:โยเกิร์ตที่มี Lactobacillus GG ปริมาณ 125 มิลลิลิตร (ประมาณ 4 ออนซ์) รับประทานวันละ 2 ครั้งตลอดการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ นักวิจัยบางคนแนะนำให้ทาน 240g หรือ 8 ออนซ์ของโยเกิร์ต วันละ 2 ครั้ง ใช้โยเกิร์ตอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังจากใช้ยาปฏิชีวนะ
สำหรับอาการท้องร่วง: ทาน 125 กรัมของโยเกิร์ตที่มี Lactobacillus casei วันละ 2 ครั้ง
ลดคอเลสเตอรอล: มีการทดลองใช้ยาหลายขนาดขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต ขนาดยาที่ทานทั่วไปคือ 200 มิลลิลิตรของโยเกิร์ตที่มี Lactobacillus acidophilus ต่อวัน ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ผสมร่วมกันระหว่างโยเกิร์ตที่มีLactobacillus acidophilus ขนาด 125 มล. ผสมกับฟรุคโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ (fructo-oligosaccharides) 2.5% วันละ 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการใช้โยเกิร์ตที่มี Causido 450 มล. (ซึ่งประกอบด้วย Enterococcus faecium และ Streptococcus bacteria อีก 2 สายพันธุ์)
เพื่อป้องกันยีสต์ในช่องคลอดหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย: โยเกิร์ตที่มี Lactobacillus acidophilus ขนาดยาทั่วไปคือ 150 มล. ต่อวัน
ปริมาณการใช้อาหารเสริมชนิดนี้อาจมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพ และเงื่อนไขอื่น ๆ อนึ่งอาหารเสริมไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณการใช้ยาที่เหมาะสม
โยเกิร์ต สามารถพบได้ในรูปแบบใดบ้าง?
โยเกิร์ต อาจมีอยู่ในรูปแบบต่อไปนี้:
โยเกิร์ตธรรมดา (ผลิตภัณฑ์จากนม): โยเกิร์ต(นมล้วน), โยเกิร์ตไขมันต่ำ, โยเกิร์ตไม่มีน้ำมัน, โยเกิร์ตกรีก, โยเกิร์ตวิปปิ้ง
โยเกิร์ตอื่น ๆ :โยเกิร์ตนมแพะ, โยเกิร์ตชีส, โยเกิร์ตนมแกะ, โยเกิร์ตนมถั่วเหลือง
เครื่องดื่มโยเกิร์ต
Yogurt http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-829-yogurt.aspx?activeingredientid=829& Accessed September 21, 2017
Yogurt is not just for breakfast! 53 ways to use this magical ingredient https://www.today.com/food/yogurt-not-just-breakfast-53-ways-use-magical-ingredient-t96721 Accessed September 21, 2017