เครดิตภาพ: ฺBabycenter.co.uk
พัฒนาการลูกน้อย
ลูกน้อยของฉันเจริญเติบโตอย่างไร
สัปดาห์แรกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของรอบเดือนประจำเดือนของคุณแม่ วันกำหนดคลอดจะคำนวณจากวันแรกของช่วงประจำเดือนครั้งสุดท้ายของคุณแม่ ซึ่งจะนับเป็นส่วนหนึ่งของช่วงตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ด้วย ช่วงตั้งครรภ์อาจยาวถึง 42 ในคุณแม่บางรายได้ ช่วงนี้ เจ้าตัวน้อยจะยังไม่ปฏิสนธิ แต่กระนั้น ร่างกายของคุณแม่ก็เตรียมพร้อมสำหรับลูกน้อยแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและชีวิต
ร่างกายคุณแม่เปลี่ยนไปอย่างไร
ร่างกายของคุณแม่เตรียมพร้อมกับการตกไข่ ซึ่งปกติแล้วจะเกิดขึ้น 12-14 วันหลังจากวันแรกของประจำเดือน การตกไข่คือการปล่อยไข่ที่โตเต็มที่จากรังไข่ ไหลมาตามท่อนำไข่ และพร้อมที่จะปฏิสนธิ หากวางแผนตั้งครรภ์ นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะอย่างยิ่งและคาดการณ์การตกไข่ของคุณ
คุณแม่ควรต้องกังวลเรื่องใดบ้างเป็นพิเศษ
ในช่วงสัปดาห์นี้ คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ควรเอาใจใส่คือการควบคุมอาหารให้สุขภาพดีและรับประทานวิตามินที่ดีต่อการตั้งครรภ์ การได้รับวิตามินที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดโฟลิค นั้นสำคัญมาก กรดโฟลิกมีประโยชน์ตรงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดข้อบกพร่องของหลอดประสาท (ความพิการของทารกแรกเกิดเกิดจากการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ของสมองและกระดูกสันหลัง) เช่น ความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง (Spina Bifida) ปริมาณกรดโฟลิคที่แนะนำตามปกติในช่วงนี้คือประมาณ 400 ไมโครกรัมต่อวัน อาจมีปริมาณสูงขึ้นสำหรับสตรีที่มีประวัติเกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนปลาย
การพบแพทย์
คุณแม่ควรบอกแพทย์ว่าอย่างไรบ้าง
หากวางแผนตั้งครรภ์ ควรปรึกษากับแพทย์เรื่องยาที่คุณแม่กำลังใช้อยู่ ไม่ว่ายาสามัญประจำบ้านหรือยาอันตราย คุณแม่ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้ยาเป็นพิเศษ เนื่องจาก แม้แต่ยาสามัญประจำบ้านก็ส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ อย่างไรก็ตาม อย่าหยุดรับประทานยาตามในสั่งแพทย์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ และแพทย์จะช่วยคุณดูเรื่องของประโยชน์และความเสี่ยงจากการหยุดยาของคุณได้
คำถามสำหรับแพทย์
- ฉันสามารถรับยาตามใบสั่งแพทย์และยาสามัญประจำบ้านทั่วไปขณะตั้งครรภ์ได้หรือไม่
- ฉันควรทำอย่างไรก่อนตั้งครรภ์
- มีการฉีดวัคซีนที่ฉันควรได้รับก่อนตั้งครรภ์หรือไม่
การทดสอบใดบ้างที่คุณแม่ควรรู้
แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วนเพื่อเตรียมร่างกายของคุณให้พร้อมกับการตั้งครรภ์ แพทย์อาจขอให้คุณแม่ทำการทดสอบดังต่อไปนี้:
- การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ซึ่งจะช่วยตรวจหาสาเหตุที่อาจส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์
- การทดสอบทางพันธุกรรม ซึ่งจะช่วยตรวจหาโรคทางพันธุกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่อาจส่งผ่านไปยังลูกน้อยของคุณแม่ได้ โรคดังกล่าว ได้แก่ โรคโลหิตจางชนิดเคียว ธาลัสซีเมียและโรคเทย์แซกส์ (Tay-Sachs disease)
- การตรวจเลือดซึ่งจะตรวจพบเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือภูมิคุ้มกันต่อโรคหัดเยอรมันและโรคอีสุกอีใส ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะต้องได้รับการรักษาหรือฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์
การทดสอบเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ของคุณให้แนวทางที่เหมาะสมในการเตรียมร่างกายของคุณสำหรับเด็กที่มีสุขภาพดี
สุขภาพและความปลอดภัย
ควรรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยขณะตั้งครรภ์
คุณแม่มือใหม่อาจสงสัยว่า ต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้างในช่วงการตั้งครรภ์เพื่อให้มีสุขภาพดี เมื่อตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันคุณแม่จะไม่แข็งแรงเท่าตอนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ คุณแม่มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อมากขึ้น คุณแม่ต้องปรึกษาแพทย์ว่าควรฉีดซีนอะไรที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่บ้าง ต่อไปนี้คือวัคซีนบางตัวที่คุณแม่อาจสงสัยว่า เป็นวัคซีนอะไรบ้าง
วัคซีนหัดโรคหัดและหัดเยอรมัม (MMR)
หัดคือการติดเชื้อไวรัส อาจมีสัญญาณและอาการบางอย่างรวมถึงไข้เล็กน้อย ไอ น้ำมูกไหลและตามด้วยผื่นสีแดง ที่เห็นได้หลังในวัคซีนสองสามวันต่อมา คางทูมเป็นเชื้อไวรัสที่ติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุให้ต่อมน้ำลายขยายตัว หากติดเชื้อในช่วงตั้งครรภ์ ความเสี่ยงของการแท้งบุตรจะมีสูง ไวรัสหัดเยอรมันหรือที่เรียกว่า หัดเยอรมัน ไวรัสหัดเยอรมันมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ตามมาด้วยผื่นคัน ร้อยละ 85 ของทารกที่ติดเชื้อไวรัสนี้ในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 ทำให้ทารกเกิดผิดความผิดปกติทางร่างกายอย่างร้ายแรง เช่น การสูญเสียการได้ยิน และความพิการทางสติปัญญา วัคซีนนี้ไม่ควรใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยปกติ คุณแม่ต้องรอ 1-3 เดือน หลังจากได้รับวัคซีน MMR ก่อนที่จะปล่อยให้ตั้งครรภ์ โปรดปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
วัคซีนอีสุกอีใส
อีสุกอีใสเป็นโรคจากการติดเชื้อไวรัสที่แพร่และติดต่อกันมาก เมื่อเป้นแล้วจะมีอาการไข้ และเป็นผื่นและน ทำให้ไม่สบายตัว ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของทารกแรกเกิดเป็นโรคอีสุกอีใสในช่วง 5 เดือนแรกของการตั้งครรภ์มีข้อบกพร่องในการคลอด รวมถึงแขนขาที่ไม่สมบูรณ์และเป็นอัมพาต สตรีที่ติดเชื้ออีสุกอีใสในช่วงเวลาคลอดก็สามารถส่งต่อเชื้อที่อาจอันตรายถึงชีวิตนี้ไปยังลูกน้อยได้ วัคซีนนี้ไม่ควรใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ ปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์
วัคซีนไข้หวัดใหญ่
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แนะนำให้ได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่เมื่อตั้งครรภ์ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทำจากไวรัสที่ตายแล้ว และจะไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงวัคซีนไข้หวัดแบบพ่นเข้าจมูกที่ชื่อ FluMist ซึ่งทำจากไวรัสที่ยังมีชีวิตอยู่
หากได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ขณะตั้งครรภ์ มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นกับคุณแม่ ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งคือ โรคปอดบวม ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด คุณแม่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดในช่วงหลังคลอด
วัคซีนไข้หวัดใหญ่มักปลอดภัยระหว่างตั้งครรภ์ มีหลักฐานว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดในระหว่างตั้งครรภ์ช่วยให้ลูกน้อยได้รับการคุ้มครองไปด้วยหลังคลอด ทารกอาจได้รับแอนติบอดีบางส่วนจากคุณแม่ที่ฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์ และหากคุณแม่มีภูมิคุ้มกัน ทารกแรกเกิดจะมีโอกาสน้อยที่จะได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่
จะเกิดอะไรขึ้นในสัปดาห์หน้านะ มาติดตามกันเลย
"เช็คสุขภาพ" ไม่มีคำแนะนำ การวินิจฉัยหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
อ้างอิง
Poppy seed to pumkin: How big is your baby? http://www.babycenter.com/slideshow-baby-size Accessed date: 19 March 2018
Your pregnancy: 2 weeks http://www.babycenter.com/6_your-pregnancy-2-weeks_6000.bc Accessed date: 19 March 2018
Pregnancy Calendar - Week 1 http://kidshealth.org/parent/pregnancy_center/pregnancy_calendar/week1.html Accessed date: 19 March 2018